ไม้มงคลที่ใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์

ความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อความเป็นสิริมงคล

ความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อความเป็นสิริมงคล

ความเชื่อและประเพณีแต่โบราณที่มีการสืบทอดมาของคนไทย จะเห็นได้ว่าในการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง คนไทยยึดถือเป็นอย่างมาก ในเรื่องของโชคลาง ความเป็นสิริมงคล ทุกอย่างต้องมีการจับยามสามตา ดูฤกษ์ยาม ทุกสิ่งที่นำมาใช้หรือร่วมในพิธีต้องเป็นมงคลและมีความหมายที่ดี เช่นกันกับการก่อสร้างสิ่งใดๆ ก็ตามที มักจะกระทำด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงความเป็นมงคลมาเป็นอันดันต้นๆ เช่นกันกับการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ก่อนเริ่มพิธีทำการก่อสร้างนั้น ตามความเชื่อของคนไทยก็ต้องมีการทำพิธี วางศิลาฤกษ์ ซึ่งหากเป็นไปตามหลักโบราณแล้ว จะต้อง ใช้ไม้มงคล 9 ชนิด ปักกับพื้นดิน ซึ่งไม้ทั้ง 9 ชนิดนั้น มีชื่อเป็นมงคลนาม ดังนี้

1. ไม้ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่และมีอำนาจวาสนา  มีความหมายต่อจากต้นชัยพฤกษ์ที่ว่าเมื่อมีโชคมีชัย มีอำน่าจวาสนาสูงส่งแล้ว จะได้เป็นใหญ่เป็นโต  มีคนนับถือทั่วไป

2. ไม้ขนุน หมายถึง หนุนให้ดีขึ้นร่ำรวยขึ้นทำอะไรจะมีผู้ให้การเกื้อหนุน เพื่อหนุนฐานะที่มีอยู่แล้วนั้น ไม่ให้ลดน้อยลง ให้มีแต่ความเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไปมีคนคอยช่วยเหลือเกื้อกูล นิยมปลูกไว้หลังบ้าน

3. ไม้ชัยพฤกษ์ หมายถึง การมีโชคชัย ชัยชนะ มีอำนาจวาสนาสูง ชนะสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้ ในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น พิธีลงหลักเมือง จะเลือกใช้เสาแก่นไม้ชัยพฤกษ์ คทาจอมพล ยอดธงชัยเฉลิมพล ล้วนใช้ไม้ประดิษฐ์จากแก่นไม้ชัยพฤกษ์

4. ไม้ทองหลาง หมายถึง การมีเงินมีทอง พัสดุ ข้าวของและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต มีคนนับถือทั่วไป

5. ไม้ไผ่สีสุก หมายถึง มีความสุข

6. ไม้ทรงบาดาล หมายถึง ความมั่นคง หรือทำให้บ้านมั่นคงแข็งแรง

7. ไม้สัก หมายถึง ความมีศักดิ์ศรี ความมีเกียรติ และยังเชื่อว่าช่วยบันดาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นและมีฤทธิ์อำนาจสืบไป ขณะที่แก่นและใบขับลมในลำไส้ รักษาเบาหวาน ไตพิการ

8. ไม้พะยูง หมายถึง การพยุงฐานะให้ดีขึ้น

9. ไม้กันเกรา หมายถึง ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ หรืออีกชื่อหนึ่งว่าตำเสา ซึ่งอาจหมายถึง ทำให้เสาเรือนมั่นคง

โดยตามตำราโบราณที่มีการยึดถือปฏิบัติมา ไม้มงคลเหล่านี้จะลงอักขระที่เรียกว่า หัวใจพระอิติปิโส ได้แก่คาถาที่ว่า อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ลงบนท่อนไม้ชนิดละอักขระ พร้อมทั้งปิดทองทั้ง 9 ท่อน โดยปักวนจากซ้ายไปขวา (ทักษิณาวรรต)

ลำดับต่อไปจะกล่าวถึงลักษณะพิเศษของไม้มงคล ทั้ง 9 รวมไปถึงรายละเอียดเฉพาะตัวแบบสั้นๆ พอเป็นความรู้โดยสังเขปสำหรับผู้ที่สนใจ

ราชพฤกษ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L:
วงศ์ LEGUMINOSAE-CAESALPINIO IDEAE
ซื่อสามัญ Pudding Pine, Indian Laburnum, Golden Shower
ชื่ออื่นๆ ที่เรียกขานก็มีชื่อ คูน ลมแล้ง ชัยพฤกษ์

ลักษณะพิเศษของไม้ราชพฤกษ์นั้น เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูง 8-15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 3 - 8 คู่  แผ่นใบรูปป้อม รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 4 - 8 เซนติเมตร ยาว 7 -15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนมน ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อตามซอกใบ หรือตามกิ่ง ยาว 20 - 45 เซนติเมตร ผลเป็นฝักทรงกระบอก ยาว 20 - 60 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร

ตามหลักนิเวศวิทยา มีการกล่าวถึงถิ่นกำเนิด ว่ากันว่าอยู่ในภูมิภาคเอเชียแถบร้อน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป ราชพฤกษ์จะออกดอกมากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม และจะทิ้งใบก่อนออกดอก

ในการขยายพันธุ์ จะกระทำโดยการลงเมล็ด ซึ่งวิธีการเตรียมเมล็ดก่อนเพาะนั้น ให้นำเมล็ดมาตัดหรือทำให้เกิดบาดแผลที่ปลายเมล็ดแล้ว แช่น้ำไว้ 12 ชั่วโมง หรือแช่กรดซัลฟูริค เข้มข้น 1.84 ประมาณ  15 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง วิธีนี้สะดวก แต่อันตราย และอีกวิธีหนึ่งคือ ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลง ในเมล็ด ทิ้งไว้ข้ามคืน ทั้ง 3 วิธีนี้จะทำให้เมล็ดดูดน้ำ เข้าไปและพร้อมที่จะงอก

วิธีการง่ายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะเอง อาจหยอดลงในถุงดินที่เตรียมไว้หรือจะเพาะในแปลงเพาะแล้วย้ายชำกล้าในภายหลัง ควรให้เมล็ดอยู่ใต้ผิวดิน 3 - 5 มิลลิเมตร รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 1 - 2 สัปดาห์

ส่วนประโยชน์ใช้สอยของไม้ชนิดนี้ ส่วนของรากสามารถนำมาฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบาย รากและแก่น เป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย เนื้อไม้สีแดงแกมเหลือง ทนทาน ใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อ ในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อได้


ขนุน
มีชื่อวิทยาศาสตร์
Artocarpus heterophylus Lam.
วงศ์ MORACEAE
ชื่อสามัญ Jackfruit Tree
ชื่ออื่นๆ มะหนุน  หมักหมึ้ หมากลาง และ Artocarpus heterophyllus Lam.

ลักษณะของขนุนนั้น เป็นไม้ต้นเช่นกัน ต้นขนุนที่ใหญ่ๆ จะมีขนาดสูงใหญ่ประมาณ 15 - 30 เมตร ลำต้น และกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี  ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบทุ่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนา ผิวใบด้านล่างจะสากมือ

เมื่อออกดอก ลักษณะของดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า "ส่า" มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตาม ลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม ส่วนของเนื้อที่รับประทานได้นั้น เจริญเติบโตมาจากส่วนของกลีบดอก

ส่วนชัง คือ กลีบเลี้ยง
ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่ ซึ่งขนาด ของผลขนุนจะอยู่ที่ความสมบูรณ์ของลำต้นและดินฟ้าอากาศด้วย

ในด้านนิเวศวิทยานั้น ขนุนมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย ทั้งยังเป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนที่ให้ผลมีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ขนุนจะออกดอกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และ เมษายน - พฤษภาคม

ส่วนของการขยายพันธุ์นั้น ทำได้โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่ง

ประโยชน์ที่สำคัญและเห็นชัดเจนก็คือ ส่วนของผลอ่อน สามารถใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวา เมล็ดปรุงอาหาร เนื้อไม้ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด รากและแก่นให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ ใบเผาไฟ กับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลา มะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล


ชัยพฤกษ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia javanica L.
วงศ์ LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อสามัญ Javanese Cassia
ชื่ออื่นๆ ราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ Cassia javanica L.

ลำต้นของชัยพฤกษ์ซึ่งจัดเป็นไม้ต้นนั้น มีความสูงถึง 15 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล ทรงพุ่มใบกลมคล้ายร่ม เมื่อต้นยังอ่อนมีหนาม ใบประกอบรูปขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5 - 15 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปรี หรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 5 เซนติเมตร  ปลายใบมน โคนใบกลม ผิวใบด้านล่างมี ขนละเอียด ดอก เริ่มบานสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ใกล้โรยดอกสีขาว ออกเป็นช่อตามกิ่งยาว 5 - 16 เชนติเมตร กลีบเลี้ยงสีแดง หรือแดงปนน้ำตาล ดอก เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 เซนติเมตร ผลเป็นฝักกลมสีดำ ยาว 20- 60 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 1.5 เชนติเมตร เมื่อแก่ไม่แตกมีเมล็ดจำนวนมาก

ทางนิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิดที่พบชัยพฤกษ์มากอยู่ ในประเทศอินโดนีเชีย

ลักษณะการออกดอกนั้น จะมาในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน และสามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ซึ่งเป็นวิธีการเพาะเช่นเดียวกับราชพฤกษ์

ประโยชน์ที่ได้รับจากชัยพฤกษ์ ก็มีตั้งแต่ส่วนของเนื้อในฝักสามารถนำมาทำเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังปลูกประดับเพื่อชื่นชมดอกสวยงามได้อีกด้วย


ทองหลางลาย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Erythrina variegata L. Erythrina variegata L.
วงศ์ LEGUMINOSAE
ชื่อสามัญ Indian Coral Tree, Variegated Tigers Claw
ชื่ออื่นๆ ที่นิยมเรียกกันก็มีปาริชาติ ปาริฉัตร ทองบ้าน ทองเผือก ทองหลางด่าง มังการา ตามภาษาของฮินดู

ทองหลางลายก็จัดเป็นไม้ต้นอีกเช่นกัน ลักษณะของทองหลายลายจะเป็นไม้ต้นที่ผลัดใบที่มีความสูง 5 - 10 เมตร  ตามกิ่งต้นอ่อนมีหนาม  เรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบ  ประกอบด้วย 3 ใบย่อย ใบกลางจะโตกว่า 2 ใบข้าง เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบสีเหลือง ดอก รูปดอก ถั่วสีแดงเข้ม ออกรวมกันเป็นช่อยาวประมาณ 30 - 40 เซนติเมตร ผลเป็นฝักยาว 15 - 30 เซนติเมตร

ทางนิเวศวิทยา พบทั่วไปในย่านเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น

ทองหลางลายจะออกดอกมากช่วงต้นปี คือประมาณ เดือนมกราคม - กุมภาพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์ โดยเมล็ด และปักชำ ซึ่งการเพาะเมล็ด สามารถปฏิบัติได้ 2 วิธี คือ

วิธีที่ 1
นำเมล็ดลงถุงดินโดยตรง รดน้ำให้ชุ่มเสียก่อนจึงกดเมล็ดลงให้จมลงต่ำกว่าผิวดินประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร วิธีการวางเมล็ดต้องพิจารณาว่าเมล็ดจะแทง ยอดอ่อนโผล่พ้นดินได้ง่าย จึงควรวางนอนราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดที่มีขนาดใหญ่

วิธีที่ 2
เพาะในกระบะเพาะก่อนย้ายชำ โดยวิธีหว่านให้กระจายทั้งกระบะเพาะแล้วจากนั้นจึงโรยดินกลบให้สม่ำเสมอหนาประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร หรือจะหว่านเป็นแนวโดยเซาะร่องก่อนแล้วโรยลงร่องแล้วกลบ วิธีนี้ ง่ายต่อการกลบ การใช้พลาสติกใสคลุมจะช่วยให้ดินรักษาความชุ่มชื้นได้นานและทำให้ความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูงขึ้น อุณหภูมิสู่งขึ้นเป็นการเร่งการงอกของเมล็ดไม้อีกด้วย เมล็ดไม้งอกได้ดีในอุณหภูมิประมาณ 1 -30 องศาเซนเซียส เมื่อกล้าไม้ตั้งตัวได้จึงเอา พลาสติกที่คลุมออกและเมื่อกล้าไม้ได้ขนาด จึงย้ายชำลงถุงพลาสติกต่อไป

การปักชำ
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและให้ผลผลิตดี สามารถทำได้โดยการใช้กิ่งขนาดพอเหมาะกับวัสดุชำ และกิ่งควรมีอายุไม่อ่อนไม่แก่เกินไป ตัดให้มีขนาดยาวประมาณ 1 คืบ ถึง 1 ศอก เสียบลงในถุงที่เตรียมวัสดุชำไว้แล้ว หรือปักลงในแปลงวัสดุชำประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ จะมีรากอ่อนงอกออกมา

การตอน
ลำดับแรกต้องเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไปทำการควั่นกิ่งเอาเปลือกออก แล้วขูดเยื่อที่เนื้อไม้บริเวณรอยควันออกให้หมด ขนาดรอยควั่นอาจจะประมาณ เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งจากนั้นใช้ขุยมะพร้าวที่ชุ่มน้ำ หรือชุ่มโคลนหุ้มรอยควั่นแล้วหุ้มด้วยพลาสติกมิให้ความชื้นระเหยได้ ทิ้งไว้ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ จะแตกรากออกมา

ประโยชน์ที่เห็นชัดเจนในการปลูกทองหลางลายก็คือ ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ และเพิ่มความร่มเย็นภายในบริเวณบ้าน ด้วยเพราะเป็นไม้ต้นที่มีความสูงพอสมควร เมื่อโตเต็มที่สามารถปกคลุมและกันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี


ไผ่สีสุก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Bambusa blumeana Schult.
วงศ์ GRAMINEAE - BAMBUSOIDEAE. Bambusa blumeana Schult.

ไผ่สีสุกจัดเป็นไม้ในตระกูลต้น เป็นไม้ไผ่ประเภทมีหนาม ความยาวลำต้นสูง 10 - 18 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 - 12 เซนติเมตร แข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ข้อไม่พองออกมา กิ่งมากแตกตั้งฉากกับลำต้น หนามโค้งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3 อัน อันกลางยาวกว่าเพื่อน ลำมีรูเล็ก เนื้อหนา ใบมีจำนวน 5-6 ใบ ที่ปลายกิ่ง ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่มกว้างๆ หรือตัดตรง แผ่นใบกว้าง 0.8 - 2 เซนติเมตร ยาว 10-20 เชนติเมตร ใต้ใบมีสีเขียวอมเหลือง เส้นลายใบมี 5 - 9 คู่ ก้านใบสั้น ขอบใบสาก คลีบใบเล็กมีขน

ทางนิเวศวิทยา เชื่อกันว่าเป็นไม้ไผ่เป็นไม้ดั้งเดิม ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก หรือหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ ในประเทศไทย มักจะขึ้นอยู่ตามที่ราบลุ่มริมห้วย แม่น้ำและมักปลูกรอบๆ บ้านในชนบท

ขยายพันธุ์ ปักชำ ใช้ท่อนไม้ไผ่มาตัดทอนเป็นท่อนๆ ให้ติดปล้อง 1 ปล้อง (ข้อตา) นำมาปักไว้ในวัสดุชำ ให้ลำต้นเอียงประมาณ 45 องศา เรียงเป็นแถว เป็นแนวเดียวกันเพื่อสะดวกในการดูแลรักษา เติมน้ำลงในกระบอกไม้ไผ่ให้เต็ม ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ หน่อจะแตกออกจากตาไม้ไผ่ และรากจะงอกออกจากปุ่มใต้ตา หรือถ้าตัดทอนท่อนไม้ไผ่ให้ตัดข้อตา 2 ข้อ แล้วเจาะตรงกลางระหว่างข้อตา สำหรับเติมน้ำลงไปในปล้อง นำไปวางนอนในวัสดุชำแนวราบก็จะได้ผลผลิตที่ดี

การปลูกไผ่จะหวังประโยชน์ได้หลายทาง ตามแต่สมัยก่อนนั้น ก็มักจะปลูกไว้รอบบ้านเป็นรั้วกันขโมย กันลม หน่อเมื่ออยู่ใต้ดินทำอาหารได้มีรสดี เมื่อโผล่พ้นดินประมาณ 20-30 เซนติเมตร มักเอาไปทำหน่อไม้ดอง สีขาว ให้สเปรี้ยว และเก็บได้นาน โดยไม่เปื่อยเหมือนหน่อไม้ชนิดอื่น เนื้อไม้หนาแข็งแรง ใช้สร้างบ้านในชนบทได้ทนทาน ทำเครื่องจักสาน เครื่องใช้ในการเกษตรกรรม การประมง โคนของไม้ไผ่นิยมใช้ทำไม้คานหาบหามและใช้ทำกระดาษให้เนื้อเยื่อสูง และปัจจุบันส่วนของรากก็ สามาถนำมาทำเป็นงานฝีมือ เช่นงานแกะสลัก ซึ่งเป็นสินค้าโอท็อปที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ทั้งยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี


ทรงบาดาล
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cassia Surattensis Burm. f.
วงศ์  LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อสามัญ Kalamona, Scrambled Eggs
ชื่ออื่นๆ ที่เรียกกันก็มีขี้เหล็กหวาน บ้างก็เรียกทรงบันดาล

ลักษณะของทรงบาดาลเป็นไม้พุ่ม สูง 3 - 5 เมตร ใบของทรงบาดาลมีลักษณะคล้ายขนนกปลายคู่ เรียงสลับใบย่อย 4 - 6 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาด กว้าง 1 - 2 เซนติเมตร มีความยาว 2.5 - 4 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอก สีเหลืองออกตามซอกใบ และปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3 เซนติเมตร ผล่ เป็นฝักแบน กว้าง 1 - 1.5 เซนติเมตร ยาว 7 - 20 เชนติเมตร

นิเวศวิทยาที่พบมาก ทรงบาดาลจะขึ้นอยู่มากในถิ่น กำเนิดเอเชียเขตร้อนและเนื่องจากทรงบาดาลเป็นไม้ที่ปลูกง่าย การออกดอกจึงมีตลอดปี

ในส่วนของการขยายพันธุ์ สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด วิธีเตรียมเมล็ดก่อนเพาะนำเมล็ดมาแช่น้ำร้อน 80 - 90 องศาเซลเซียส. แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 16 ชั่วโมง วิธีเพาะเมล็ดมีวิธีการคล้ายกับการปลูกราชพฤกษ์

ประโยชน์ที่จะได้จากทรงบาดาลก็ห็นจะเป็นการปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ


สัก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Tectona grandis L.f.
วงศ์ VERBENACEAE
ชื่อสามัญ Teak
ชื่ออื่นๆ เซบ่ายี้ ปีฮือ ปาฮี้ เป้อยี

สักเป็นไม้ต้นที่มีขนาดใหญ่ จะผลัดใบในฤดูร้อน ลำต้นเปล่าตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่ำๆ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบเปลือกสีเทา เรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามความยาวลำต้น ใบเดี่ยวใหญ่มาก ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ปลายใบแหลมโคนมน ยาว 25 - 30 เซนติเมตร กว้างเกือบเท่ายาว ใบของต้นอ่อนจะใหญ่กว่านี้มาก ผิวใบขนสากคาย สีเขียวเข้ม ขยี้ใบสดจะมีสีแดงเหมือนเลือด ดอกขนาดเล็ก สีขาวนวลออกเป็นช่อตาม ปลายกิ่ง ผล แห้งค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เชนติเมตร เปลือกแข็ง ภายในมี 1 - 3 เมล็ด

ทางนิเวศวิทยา ไม้สักมักขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันตก มีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สักมีดอกเช่นกัน จะพบเห็นการออกดอกและให้ผลในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม

ส่วนของการขยายพันธุ์นั้น สักสามารถปลูกได้โดย ใช้เมล็ด หรือการปักชำ โดยวิธีเตรียมเมล็ดก่อนเพาะนั้น ทำได้โดยการนำเมล็ดมาแช่น้ำ 2 วัน สลับผึ้งแดด 1 วัน รวม 15 วัน แล้วหว่านในแปลงเพาะให้กระจัดกระจายทั่วกัน กลบด้วยวัสดุเพาะชำ สูงประมาณ 3 - 5 มิลลิเมตร หรืออาจทำร่องแล้วหว่านลงในร่องจะสะดวกในการกลบและเมล็ดจะงอกอย่างเป็นระเบียบ แปลงเพาะควรอยู่กลางแจ้ง เมล็ดสักจะงอกไม่พร้อมกัน บางเมล็ดงอกภายในสัปดาห์ บางเมล็ด 2 ปีจึงงอก ซึ่งการปลูกสักก็ถือเป็นการสร้างอดทนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไม้ให้ผลงอกงามก็ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง

ในส่วนของการปักชำ ขั้นตอนแรกให้เลือกไม้สายพันธ์ดีที่ต้องการขยายพันธุ์ (ต้นแม่พันธุ์) จากนั้นให้เลือกตัดชิ้นส่วนของไม้ที่พัฒนาเป็นกล้าไม้ได้ง่าย ต่อมาจึงนำชิ้นส่วนของแม่พันธุ์ไปกระตุ้นเพื่อให้ออกรากและลำต้น ด้วยสารเคมี (สารเคมีมีขายตามท้องตลาด)

เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ให้นำส่วนของพืชที่ได้รับการกระตุ้นแล้วไปไว้ในโรงเรือนที่สามารถควบคุมความชื้น และอุณหภูมิได้ และดูแลจนกว่าส่วนของพืชที่นำมาปักชำ จะสร้างรากและลำต้น จากนั้นจึงนำกล้าไม้ที่ออกราก และลำต้นไปอนุบาลจนกล้าไม้เริ่มแข็งแรง ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ  และเมื่อได้กล้าไม้ที่ดีแล้วให้นำกล้าไม้ออกไปกลางแจ้งเพื่อให้กล้าไม้ปรับตัวและแข็งแรงพอที่จะนำไปปลูกได้

สักเป็นไม้ที่มีประโยชน์มาก ประโยชน์อย่างหนึ่งของสักก็คือ สักเป็นไม้ที่มีเนื้อไม้ มีลายสวยงามแข็งแรงทนทาน เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่ง และชักเงาได้ง่าย ใช้ทำเครื่องเรือนและในการก่อสร้างบ้านเรือน ปลวก มอด ไม่ชอบทำลายเพราะมีสารพวกเตคโตคริโนน ด้วยคุณสมบัติ ทั้งยังเป็นพิเศษนี้เอง ที่ทำให้สักมีราคาค่างวดไม่น้อย พืชเศรษฐกิจที่ทำเงินเข้าประเทศมหาศาลต่อมาคือ พะยูง ไม้มงคลลำดับต่อมา


พะยูง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dalbergia cochinchinensis Pierre
วงศ์ LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAF
ชื่อสามัญ Siamese Rosewood
ชื่ออื่นๆ เรียกกันว่า ขะยุง แดงจีน ประดู่เสน พะยุง และ Dalbergia cochinchinensis Pierre

พะยูงเป็นไม้ต้นอีกเช่นกัน ลักษณะของมันเป็นไม้ผลัดใบ ส่วนของลำต้นจะมีความสูงโดยประมาณที่ 15 - 25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ใบ เป็นช่อแบบขนนกปลายใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสลับจำนวน 7 - 9 ใบ ขนาดกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจาง ดอกขนาดเล็กสีขาว กลิ่นหอมอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามง่ามใบ และตามปลายกิ่ง ผล เป็นฝักรูปขอบขนานแบน บางขนาดกว้าง 1.2 เซนติเมตร ยาว 4 - 6 เซนติเมตร มีเมล็ด 1 - 4 เมล็ด

นิเวศวิทยาของพะยูงจะขึ้นในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้นทั่วๆ ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก

จะออกดอกมากในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ฝักแก่จะมีให้เห็นในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน

และสามารถขยายพันธุ์ โดยเมล็ด ซึ่งวิธีเตรียมเมล็ดก่อนเพาะให้นำเมล็ดแชในน้ำเย็น 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปเพาะในกระบะเพาะก่อนย้ายชำ โดยวิธีหว่านให้กระจายทั้งกระบะเพาะแล้วโรยทรายกลบบางๆ  รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดของพะยูงจะงอกภายใน 7 วัน เมื่อกล้าไม้ อายุ 10 - 14 วัน ความสูงประมาณ 1 นิ้ว มีใบเลี้ยง 1 คู่  สามารถย้ายชำในถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้ได้

ประโยชน์ของไม้ต้นชนิดนี้ ความที่เนื้อไม้มีสีแดงอมม่วง ถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวี่ยน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด ซึ่งพะยูงก็ถือเป็นไม้อีกชนิดหนึ่งที่คนไทยรู้จักดีและคุ้นเคยมานาน


กันเกรา
ชื่อวิทยาศาสตร์
Fagraea fragrans Roxb.
วงศ์ LOGANIACEAE Fagraea fragrans Roxb.
ชื่ออื่นๆ มีตั้งแต่มันปลา ตำเสา มะซู

กันเกราเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ 15 -25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบ ใบ เดี่ยวออกตรงกันข้าม แผ่นของใบเป็นรูปมน มีขนาดความกว้างโดยประมาณ 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ยาว 8 - 11 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือ ยาวเรียว ฐานใบแหลม โคนมน ดอก เริ่มบานสีขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม ผลกลมเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มม. สีส้มแล้วเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือดนกเมื่อแก่เต็มที่ มีเมล็ดขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก

นิเวศวิทยา  ขึ้นทั่วไปในปเบญจพรรณชื้น และตามที่ต่ำ ที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน และเป็นผลสุกปลั่งในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม

กันเกราสามารถขยายพันธุ์โดยเมล็ด ซึ่งการเพาะเมล็ดสามารถปฏิบัติได้ง่าย โดยวิธีการเพาะนั้น ก่อนการเพาะให้นำเมล็ดแช่ในน้ำร้อน 80 - 90 องศาเซลเซียส แล้วผึ่งให้เย็น 16 ชั่วโมง นำไปแช่น้ำเย็น ทิ้งไว้ข้ามคืนเมล็ดจะดูดน้ำเข้าไปพร้อมที่จะงอก นำเมล็ดไปหว่านลงในแปลงเพาะ แล้วย้ายชำกล้าในภายหลัง การหว่านเมล็ด ควรให้เมล็ดอยู่ใต้ผิวดิน 3 - 5 มิลลิเมตร รดน้ำให้ชุ่มเมล็ดจะงอกภายใน 1 - 2 สัปดาห์

ประโยชน์ เนื้อไม้สี่เหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง นิยมใช้ทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็นไม้ประดับ เพิ่มความร่มรื่นร่มเย็นให้บริเวณบ้านได้อย่างสบาย